หน้าหลัก ---> กระดาน ประวัติพระเกจิ ---> ชีวประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อสุธี วัดศรีธงชัย

Total 0 Record : 1 Page : 1

ไก่ เพชรบูรณ์ ชีวประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อสุธี วัดศรีธงชัย

ส่งข้อความ
 ประวัติความเป็นมา และปฏิปทา
ของ หลวงพ่อสุธี  ยะสะธะโร
พระเกจิอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเวทย์วิทยาคม  แห่งวัดศรีธงชัย (พุขาม)
ต.พุขาม  อ.วิเชียรบุรี  จ.เพชรบูรณ์


เมืองเพชรบูรณ์ในเขตอำเภอวิเชียรบุรีเมื่อสมัยที่ยังเป็นป่าเป็นดงอยู่  หรือที่ภาษา ชาวบ้านเรียกว่าดงยังไม่แตกนั้น เป็นพื้นที่  ที่ชุกชุมไปด้วยโจรผู้ร้าย  และ สัตว์ป่า  ถนนหนทางที่ใช้สัญจรไปมา ก็ยังเป็นทางลูกรัง หรือไม่ก็ทางเกวียน แต่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือไข้ป่าและโรคระบาด  จึงทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้ามาอาศัยอยู่ถ้าไม่จำเป็น  เมื่อเป็นดังนี้  คนที่มาอาศัยอยู่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นประเภทหนีคดีอาญาบ้านเมืองมาจากที่อื่น จึงทำให้โจรผู้ร้ายชุกชุม  ข้าราชการคนใดที่ถูกย้ายมาประจำในเขตพื้นที่ดังกล่าวจะเป็นข้าราชการที่ถูกลงโทษทางวินัยเสียเป็นส่วนมาก
แต่ถึงกระนั้น  ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนดีครับ  ในเมื่อในพื้นที่ชาวบ้านกลุ่มนี้อาศัยอยู่เต็มไปด้วยโจรผู้ร้าย  จึงทำให้พวกเขาต้องหาเครื่องรางของขลังไว้ป้องกันตัว  ตามความเชื่อของคนที่นับถือศาสนาพุทธ  ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้  เกจิอาจารย์  หลายท่านมีชื่อเสียงโด่งดัง  แต่ที่จำนำมากล่าวถึงในที่นี้ คือ  หลวงพ่อสุธี  ยะสะธะโร  แห่งวัดศรีธงชัย(พุขาม)  สมัยนั้นพุขามยังไม่เป็นตำบลครับ  จึงอยู่ในเขต ต.สระกรวด อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ แต่ในปัจจุบัน เปลี่ยนมาเป็น  ต.พุขาม  อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ ความเป็นมาหลวงพ่อสุธีท่านนี้  เลือนลาง เหลือเกินครับ  ไม่มีใครรู้ว่าท่านเกิดเมื่อไหร่  อุปสมบทที่ไหน ใครเป็นพระอุปฌาย์  เพราะท่านไม่เคยบอกใคร  รู้แต่เพียงว่าท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เล็ก (ไม่ทราบวัด) หลวงพ่อสุธีท่านบอกว่าหลวงปู่เล็กท่านนี้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน  เจ้าตำรับเขี้ยวเสือแกะอันลือลั่น  แต่มีผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคยเป็นโยมอุปฐากในสมัยที่ท่านยังดำรงสังขารอยู่ เล่าให้ฟังว่าท่านเคยเป็นเสือมาก่อนและก็เป็นผู้ที่มีวิชาอาคมด้วย  เคยถูกตำรวจล้อมจับอยู่หลายครั้งแต่ก็จับท่านไม่ได้สักครั้งเดียว  มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านถูกตำรวจประมาณ  ๔๐ นาย  ไล่จับท่านแบบตามมาติดๆท่านจึงหนี่เข้าไปหลบซ่อนที่กระท่อมกลางนา  ตำรวจชุดนั้นก็เข้าปิดล้อมทันที  แล้วก็ถูกตำรวจชุดนั้นยิงถล่มด้วยอาวุธปืนนานาชนิด  เมื่อยิงแล้วก็เข้าไปดู คิคว่าโดนขนาดนี้ต้องตายแน่ๆ  แต่ตำรวจกลุ่มนั้นก็ต้องงงเป็นไก่ตาแตก  เพราะในกระท่อมดังกล่าวไม่มีคนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว  จะเป็นท่านหายตัวได้หรือท่านหนังเหนียวก็ไม่ทราบได้  หลังจากนั้นอีกไม่นานท่านจึงเกิดความเบื่อหน่ายเรื่องทางโลก ท่านจึงตัดสินใจบวช  แล้วท่านจึงออกธุดงค์เรื่อยมาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อว่าหมู่บ้านพุขามท่านจึงสร้างวัดศรีธงชัยขึ้น  ที่หมู่บ้านแห่งนี้แล้วเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดนี้ จวบจนท่านมรณภาพ เมื่อปี  ๒๕๑๙
หลวงพ่อสุธี ท่านเป็นสหธรรมมิก กับหลวงพ่อทบ วัดช้างเผือก เทพเจ้าแห่งเมืองมะขามหวาน  ท่านเคยพูดให้ลูกศิษย์  ฟังอยู่เสมอ  ว่า “หลวงพ่อทบเป็นอาจารย์ของฉัน”  ทั้งๆที่ท่านไม่เคยไปเรียนวิชากับหลวงพ่อทบเลย  แต่ท่านก็พูดอย่างนั้นบ่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง  เมื่อปี  ๒๕๑๘  ที่วัดศรีธงชัยมีงานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต หลวงพ่อสุธี  ท่านบอกว่า  “ฉันจะนิมนต์หลวงพ่อทบ มาเป็นประธานในพิธีพุทธาภิเศกที่วัดนี้”  มีลูกศิษย์คนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า  “หลวงพ่อทบท่านอายุมากแล้วสายตาของท่านก็มองไม่เห็นแล้วท่านจะมาหรือ”  หลวงพ่อสุธีท่านบอกว่า  “ท่านต้องมาซี ก็ฉันไปนิมนต์ท่านไว้แล้ว  เมื่อถึงวันงานพวกเองจงขับรถไปรับท่านที่วัดช้างเผือก  ท่านต้องมาแน่ๆ”  แต่ความจริงแล้วหลวงพ่อสุธี  ไม่ได้ไปนิมนต์หลวงพ่อทบหรอก  ไม่รู้ทำไมหลวงพ่อสุธีท่านจึงพูดแบบนั้น    เมื่อถึงวันงาน
หลวงพ่อทบก็มาเป็นประธานปลุกเสกให้จริงๆ  หลังจากปลุกเสกเสร็จ  หลวงพ่อทบท่านพูด กับโยมที่จะไปส่งท่านกลับวัดว่า  “ เออ... สมภารวัดนี้ นี่ไม่เบานะ ไปนิมนต์ข้าถึงที่วัดเชียว”  คนที่ได้ยินต่างคนต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัย  แล้วก็ว่าทีแรกคิดว่าหลวงพ่อสุธีท่านพูดเล่นเสียอีก
หลวงพ่อสุธีท่านสร้างวัตถุมงคลไว้ไม่มาก  ส่วนใหญ่ท่านจะปลุกเสกเดี่ยว  ยุคแรกๆ จะออกประมาณปี ๒๕๑๐ ดังนี้  เหรียญรุ่นแรกนั่งเต็มองค์คล้องลูกประคำ เนื้ออัลปาก้า หลังยันต์ใบพัด ในพื้นที่เรียกเหรียญนักกล้าม , รูปหล่อปั๊มขนาดเล็กและขนาดใหญ่  ขนาดใหญ่จะคล้ายกับรูปหล่อหลวงพ่อมุ่ยรุ่น ๒  ส่วนขนาดเล็กจะคล้ายกับรูปหล่อปั๊มหลวงพ่อพรหมรุ่นแม่ชีกุหลาบ  แต่จะมีอยู่รุ่นหนึ่งที่ท่านนิมนต์เกจิอาจารมาปลูกเสกหลายรูป  คือรุ่นงานฝังลูกนิมิตปี ๒๕๑๘ ครับที่มีเกจิอาจารย์หลายท่านปลุกเสก  ดังนี้ครับ   หลวงพ่อทบ  วัดช้างเผือก  หลวงพ่อจวน  วัดหนองสุ่ม  พระครูละมูล  วัดเสด็จ  และหลวงพ่อสุธี  วัดพุขาม  วัตถุมงคลที่เข้าพิธี มีดังต่อไปนี้   เหรียญรูปไข่หันข้างหลังพระประธาน  รูปหล่อฉีดเนื้อทองเหลืองมีทั้งแบบรมดำ  และไม่รมดำ  ที่ฐานด้านหน้าเขียนว่า  “หลวงพ่อที” ด้านหลังฐานมีเลข  ๑๘  ใต้ฐานอุดกริ่ง มียันต์  มะ  อะ  อุ  และพระปางประจำวันครบทั้ง ๗ ปาง เนื้อดินสีแดง ห้าเหลี่ยม  ด้านหลังเป็นตัวหนังสือกดลงไปในเนื้อพระ  “ส.ท.๒๕๑๙”  และ  “ส.ท.๒๕๑๗”  ทั้งสองแบบปลุกเสกพร้อมกันครับ     คนรุ่นเก่าในเขต ตำบลพุขาม และตำบลใกล้เคียงนั้นนับถือหลวงพ่อสุธี มาก  ชนิดที่ว่าถ้าใครมีวัตถุมงคลที่สร้างในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่นั้น  จะเก็บกันเงียบไม่ยอมปล่อยให้หลุดออกมานอกพื้นที่เลย   
เรื่องประสบการณ์วัตถุมงคลของท่านนั้นเล่าเป็นวัน ๆ ก็ไม่จบครับ  ไปถามชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวๆ วัดพุขามดูได้ ปัจจุบันวัตถุมงคลของท่านราคายังไม่แพงครับและไม่มีของเก๊ด้วย  ถ้าท่านผู้อ่านไปเจอพระหลวงพ่อสุธีที่ไหนอย่าปล่อยให้หลุดมือเชียว

น้ำมันมนต์ศักดิ์สิทธิ์
   เมื่อสมัยที่หลวงพ่อสุธี ยังดำรงสังขารอยู่นั้นท่านมีชื่อเสียงมากทางด้านการทำน้ำมันมนต์  ชนิดที่ว่าหลวงพ่อท่านต้องใช้ศาลาหลังใหญ่ ๑ หลังเป็นที่พักของคนป่วยที่มาให้ท่านรักษาโรคด้วยน้ำมันมนต์ เลยทีเดียว  สมัยนั้นถ้าใครเดินผ่านศาลาหลังนี้  จะดูคล้ายๆ กับศาลาหลังนี้เป็นโรงพยาบาลย่อยๆ เลย  น้ำมันมนต์ของท่านนั้นส่วนผสมก็ไม่ต่างจากน้ำมันมนต์สำนักอื่นๆ คือท่านจะใช้น้ำมันมะพร้าวต้มกับหัวไพลหันตากแห้ง  แต่วิธีการทำนั้นไม่เหมือนที่อื่น
คือ  ท่านจะนำน้ำมันมะพร้าวมาต้มกับไพลในกระทะใบบัวขนาดใหญ่ แล้วนิมนต์พระลูกวัดของท่านเอง  ๕  รูป  ๗รูป ตามสะดวกสวดชัยมงคลคาถา ๑๐๘ จบ  ส่วนตัวท่านก็จะนั่งบริกรรมพระเวทย์ ปลุกเสกเดี่ยวตรงหน้าเตา  ไปจนกว่าพระจะสวดชัยมงคลคาถาครบ ๑๐๘ จบ  ระหว่างที่ท่านปลุกเสกนั้น ท่านจะใช้มือเปล่าๆ ลงไปคนน้ำมันที่กำลังเดือดพล่าน แบบที่ไม่แสดงอาการร้อนเลย  จนเสร็จพิธี   น้ำมันมนต์ของท่านท่านมีสรรพคุณใช้รักษาโรคอัมพฤต  อัมพาต  กระดูกแตก  กระดูกหัก  แผลสด  แผลไฟไหม้  น้ำร้อนลวก  ให้หายได้อย่างอัศจรรย์นัก  และอีกอย่างที่หลวงพ่อสุธี ท่านเก่งมาก  ก็คือ วิชาทำน้ำมนต์  เพื่ออาบให้ญาติโยม  ขับไล่เสนียด จัญไร สิ่งไม่ดี  สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา  หรือขับไล่ภูตผีปีศาจ   

ไม่ต้องตัดขา
   บุคคลที่จะกล่าวถึงในเรื่องนี้  ชื่อว่า  นายแห้ง   ซึ่งมีอาชีพเป็นลูกจ้างโรงน้ำแข็ง  แห่งหนึ่งในหมู่บ้านพุขาม  เจ้าของโรงน้ำแข็ง  โรงนี้ชื่อว่าเถ้าแก่เอียะ  นายแห้งมีหน้าที่ยกน้ำแข็งก้อนใหญ่  เข้าเครื่องเลื่อยน้ำแข็ง  ปกตินายแห้ง  จะใช้มือค่อยๆ ดันน้ำแข็งเข้าไปในเครื่องเลื่อย  แต่วันเกิดเหตุ   นายแห้งได้ใช้เท้าถีบน้ำแข็งเข้าไปในเครื่องเลื่อย  ก้อนแรกๆ ก็ไม่เป็นไร  นายแห้งจึงเกิดความชะล่าใจเพราะ  ใช้เท้าถีบมันง่ายกว่าใช้มือดัน  นายแห้งจึงใช้เท้าถีบไปเรื่อยๆ  ด้วยความประมาททำให้นายแห้งไม่ทันระวัง  จึงทำให้นายแห้งลื่นเข้าไปในเครื่องเลื่อยน้ำแข็ง  ขาขวาของนายแห้งถูกเลื่อยเจาะ  เข้าที่กลางหน้าแข้ง  จนละลุหลังน่อง  คนที่เห็นเหตุการณ์  เล่าว่า ขาของนายแห้งเป็นแผลเหวอะหวะ  เส้นเอ็นขาขาดเป็นฝอย กระจุยกระจาย  เลือดออกมามากจนเหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่ว  ชาวบ้านจึงช่วยกันพานายแห้งไปส่งที่โรงพยาบาล  เมื่อถึงมือหมอ  หมอได้ทำการห้ามเลือด  เสร็จแล้วจึงให้นายแห้งนอนรักษาแผลอยู่ที่โรงพยาบาล  เวลาผ่านไปหลายวัน  บาดแผลของนายแห้งไม่ดีขึ้นแถมยังอักเสบติดเชื้ออีก  หมอจึงลงความเห็นว่าต้องตัดขาทิ้ง  นายแห้งได้ยินดังนั้นจึงเกิดความเสียใจ  เพราะไม่อยากถูกตัดขา  นายแห้งจึงตัดสินใจหนีออกจากโรงพยาบาล กลับไปที่บ้านเพื่อให้หลวงพ่อสุธี  รักษาแผลให้  หลวงพ่อสุธีท่านก็ใช้น้ำมันมนต์รักษาให้ตามแบบฉบับของท่าน  เวลาผ่านไปนานหลายสัปดาห์  แผลของนายแห้ง ก็ค่อยๆลดอาการบวมลงจนแผลหายสนิทในที่สุด  สรุปว่านายแห้งก็ไม่ต้องตัดขา  แต่นายแห้งก็เดินไม่เหมือนคนปกติทั่วไป  คือเดินขากะเผลก   นิดๆ เท่านั้นเอง  แต่ก็ยังดีกว่าถูกตัดขา 

นิยมมาสึก
   โบราณว่าไว้  ชายไทยมีหน้าที่  ที่สำคัญอยู่อย่างหนึ่ง  ต้องบวชเพื่อทดแทนพระคุณของบิดามารดา  หรือเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา  และการที่ชายใดจะบวชเป็นพระสงฆ์ได้  ที่สำคัญที่สุดก็ต้องมีพระอุปฌาย์  เมื่อบวชเป็นพระสงฆ์ ศึกษาพระธรรมวินัย ๗ ตำนาน ๑๒  ตำนาน ได้พอสมควรแก่เวลาสุดท้ายก็ต้องลาสิกขา ออกมาใช้ชีวิต แบบฆราวาสมีครอบครัวเช่นปุถุชนทั่วไป  ในส่วนของการลาสิกขานั้นไม่จำเป็นต้องลาสิกขากับพระอุปฌาย์  ลาสิกขากับสมภารวัดธรรมดาก็ได้  ตามแต่ความสะดวกของแต่ละคน
   ย้อนไปเมื่อปี  ๒๕๑๐ – ๒๕๑๘   พวกผู้ชายในเขตตำบลพุขาม และตำบลใกล้เคียงนิยมที่จะมาลาสิกขา  กับหลวงพ่อสุธี ที่วัดศรีธงชัย   มันเป็นอย่างนั้นจริงๆครับ  และก็ถือเป็นเรื่องแปลกด้วย ที่บางคนอยู่ตั้งไกลยังดั้นด้นมาลาสิกขากับหลวงพ่อ  คนที่เคยลาสิกขากับหลวงพ่อเล่าให้ฟังว่าท่านก็ทำพิธีสึกเหมือนกับพระทั่วๆ ไป  แต่ที่ไม่เหมือนก็คือ  เมื่อเสร็จพิธีลาสิกขาแล้ว  หลวงพ่อท่านจะอาบน้ำมนต์ให้  ก่อบอาบน้ำมนต์ท่านจะถามชายผู้นั้นว่า  จะช่วยพ่อแม่ทำงานก่อน  หรือจะมีเมียก่อน  เมื่อหลวงพ่อได้รับคำตอบจากชายผู้นั้นแล้วท่านก็จะทำน้ำมนต์อาบให้  ถ้าตอบว่าช่วยพ่อแม่ทำงานก่อนจะได้แต่งงานตอนอายุประมาณ  ๓๐ ปี  แต่ถ้าตอบว่า  มีเมียก่อน  ไม่เกิน  ๓  วันครับ ได้แน่ๆ  มีบางรายพอเดินออกมาหน้าวัดก็เจอผู้หญิงยิ้มให้เลย...  วิชานี้เป็นวิชาที่แปลกมาก  รับรองว่าไม่มีที่ไหนแน่ๆ  หลังจากท่านมรณภาพไปแล้ว  วิชานี้ท่านก็ไม่ได้ถ่ายทอดให้ใครเลย

ชานหมากห้ามเลือด
   งานประจำปีของ  วัดศรีธงชัย  ก็คืองานลอยกระทง  มีมหรสพ  สมโภชน์มากมาย  และคนที่มาเที่ยวงานก็มาจากหลายพื้นที่หลายตำบล  เป็นธรรมดาที่วัยรุ่นต่างถิ่นเมื่อมาเจอหน้ากัน  แล้วก็เกิดอาการเขม่นกัน  ทะเลาะวิวาทกันอยู่บ่อยๆ  มีวัยรุ่นเจ้าถิ่นคนหนึ่ง  ชื่อว่า  นายชง   นายชงคนนี้มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับวัยรุ่นต่างถิ่นซึ่งมีจำนวนมากกว่า
สาเหตุก็มาจาก  แย่ง สาวรำวงกัน นั่นเอง   นายชง  วัยรุ่นเจ้าถิ่น  มีแค่คนเดียวหรือจะหาญสู้  วัยรุ่นต่างถิ่นซึ่งมีกำลังมากกว่าได้  นายชงจึงถูก  ตีหัว  ด้วยขวดเหล้าจนหัวแตก  นายชงสู้ไม่ได้  จึงวิ่งหนีขึ้นไปบนกุฏิหลวงพ่อ  วัยรุ่นต่างถิ่นก็รู้กาละเทศะ   ไม่ได้ตามขึ้นไปแต่อย่างใด    ส่วน  นายชง  ก็เข้าไปหาหลวงพ่อ  แล้วก็บอกหลวงพ่อว่า  “หลวงพ่อครับ  ช่วยผมด้วยๆ  ผมโดนพวกมันรุมครับ”   พอหลวงพ่อได้ยิน  ท่านจึงพูดกับนายชงว่า   “ไอ้ชงเอ้ย  มึงมีแค่คนเดียว  ยังหาญสู้เขาอีก  มึงเข้ามาไกล้ๆ  ซิกูจะช่วย”  นายชงไม่รอช้ารีบเข้าไปหาหลวงพ่อ   แล้วหลวงพ่อท่านจึงนั่งพึมพำ  อยู่สักอึดใจหนึ่ง  แล้วท่านจึงพ่นน้ำหมากลงไปที่หัวของนายชง  ทันใดนั้น  เลือดที่หัวของนายชงก็หยุดไหลทันที  แล้วหลวงพ่อก็ถามนายชง  ต่ออีกว่า  “ไอ้ชงเลือดมึงหยุดไหลแล้ว  มึงจะทำยังไงต่อวะ”  นายชงตอบว่า  “ผมจะไปลุยกับมันต่อครับ”  หลวงพ่อได้ยินดังนั้นท่านก็เอามือตบหัวเข่า  อย่างถูกใจ  แล้วท่านก็พูดว่า  “เออ..มันต้องอย่างนี้สิวะ”  แล้วนายชงก็ไปต่อสู้กับคู่อหริจริงๆ   แต่คราวนี้  นายชงโดนขวดตีหัว  เป็นสิบใบเลย  ขวดแตก  แต่หัวนายชงไม่แตก  ทั้งๆที่ครั้งแรกโดนแค่ใบเดียวเลือดอาบเลย  ส่วนตัวนายชงเองก็สู่ยิบตาอยู่พักใหญ่  จนตำรวจมา  ก็ต่างคนต่างหนีกันไปคนละทิศคนละทาง  หลังจากนั้นก็มีชาวบ้านหลายคนมาถามนายชงว่าคล้องพระอะไร  นายชงตอบว่าไม่ได้คลองพระ  มีแต่หลวงพ่อชานหมากหลวงพ่อสุธี  เมื่อชาวบ้านได้ยินดังนั้นจึงพากันไปขอชานหมากของหลวงพ่อ  จนท่านเคี้ยวแจกแทบไม่ทันเลย  

ห้องเช่าราคาถูกที่สุดในประเทศไทย
   ชุมชนข้างวัดศรีธงชัยเป็นชุมชนใหญ่  มีคนอาศัยอยู่หลายประเภท  มีทั้ง  คนรวย  คนจน  พ่อค้าแม่ค้า  แต่ที่เห็นจะมีมากที่สุดคือ  คนหาเช้ากินค่ำ  ด้วยเหตุนี้เอง  หลวงพ่อสุธี  ถึงแม้ท่านจะเป็น พระบ้านนอกธรรมดาๆก็ยังมีความที่ว่าจะทำอย่างที่พอจะช่วยเหลือโยมอุปฐากของท่าน  ที่แม้ตัวเองจะไม่ได้ร่ำรวยอะไรแต่ก็ยังมีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา  มาทำบุญตักบาตรอยู่บ่อยๆ  หลวงพ่อสุธี  ท่านจึงตัดสินใจสร้างห้องแถวขึ้นเพื่อให้ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำได้อาศัยอยู่ในราคาถูก  ห้องแถวของท่านทำด้วยไม้ชั้นเดียว  ความยาวประมาณ ๓๐  ห้องและเก็บค่าเช่าเดือนละ ๑๐๐  บาท  แต่ก็ยังมีกรรมการวัดหลายคนคัดค้านไม่ให้สร้าง  หลวงพ่อท่านจึงอธิบายให้กรรมการวัดฟังว่า  ทุกวันนี้
อาตมาอยู่ได้ก็เพราะข้าวปลาอาหารที่ญาติโยมมาทำบุญตักบาตรอาตมาเป็นพระจึงไม่สามารถช่วยเหลือญาติโยมได้มากมายนัก  อาตมาจึงคิดอยากจะตอบแทนญาติโยมของอาตมา ที่บางทีตังเองยังไม่ค่อยจะมีกินแต่ก็ยังอุตสาห์มาตักบาตร  อาตมาเคยเทศน์สอนญาติโยมว่าคนที่จะเป็นคนดีได้ต้องรู้คุณคน  คนเนรคุณก็คือคนไม่ดี  และถ้าตัวอาตมาเองยังทำไม่ได้  แล้วต่อไปใครจะมาฟังอาตมาเทศน์  ฟังอาตมาสอนเล่า  เมื่อกรรมการวัดได้ยินดังนั้นก็ไม่ขัดข้องแต่ประการ  และปัจจุบันนี้  พ.ศ. ๒๕๕๒  แล้ว  เชื่อไหมว่าค่าเช่าห้อง ก็ยังเก็บ  ๑๐๐  บาท  อยู่ เพราะก่อนที่หลวงพ่อท่านจะมรณภาพ  ท่านบอกว่า  ถ้าชุมชนในเขตวัดศรีธงชัยยังไม่เจริญ ใครขึ้นราคาห้องเช่าของท่าน ขอให้มันจงพบกับความวิบัติ  เชิญทุกท่านพิสูจน์ราคาห้องเช่า ของวัดศรีธงชัยได้ครับว่าจริงหรือเปล่า  เรื่องจริงครับไม่ได้โม้  แต่ท่านที่คิดจะไปเช่าอยู่ ก็คงต้องผิดหวังเพราะมีคนเช่าเต็ม  ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อยังอยู่แล้ว...

ห้องเช่าหมาอยู่
   หลังจากที่หลวงพ่อสุธี  ท่านสร้างห้องแถวเสร็จ  ก็มีผู้คนมากมายหลายระดับจับจองเข้าไปอยู่จนเต็มทุกห้อง
ไม่ว่าจะเป็น  ร้านขายของชำ  ร้านกาแฟโบราณ  ร้านขายยา  ร้านตัดผม ฯลฯ  แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ผิดหวังมาจับจองห้องแถวไม่ทัน  ด้วยเหตุนี้เอง  จึงมีชายคนหนึ่ง(ไม่ขอเอ่ยชื่อเพราะยังมีชีวิตอยู่) คิดที่จะสร้างห้องแถวขึ้นมาแข่งกับหลวงพ่อบ้าง และชายผู้นี้ ก็สร้างห้องแถวขึ้นจริงๆ  แต่ก็แปลกไม่ค่อยมีคนเข้ามาเช่าอยู่เลย  จึงทำให้ชายผู้เกิดความหงุดหงิด  พูดออกไปว่า   ห้องเช่าโกโรโกโสแบบนั้นก็ยังอยากจะไปอยู่กัน  ห้องเช่าของกูดีกว่าตั้งเยอะทำไมไม่มาอยู่  และก็มีชาวบ้านที่นับถือหลวงพ่อ นำเรื่องที่ชายผู้นี้พูดไปบอกให้หลวงพ่อทราบ  หลวงพ่อท่านจึงบอกว่า “อีกหน่อยห้องเช่าของมันก็เป็นห้องหมาอยู่”  หลังจากที่หลวงพ่อท่านมรณภาพไม่นานห้องเช่าของชายผู้นั้นก็ไม่คนมาเช่าอยู่จึงทำให้บ้านเริ่มผุพังเมื่อไม่มีคนอยู่ดูแล  และแล้วก็มีหมาเข้ามาอาศัยอยู่จริงๆ  อยู่ไม่อยู่เปล่าเมื่อเวลาตอนที่มันเป็นสัตว์
พวกมันก็พากันไปผสมพันธุ์กันบนหลังคา  ติด....กันอยู่บนหลังคา  ไม่ใช่แต่ตัวสองตัว  มันมาเป็นฝูงเลย  เรื่องนี้เรื่องจริงครับ  ถ้าไม่เชื่อถามคนแถวนั้นดูได้

ตกหลังคาสูง ๘ เมตร
   ประมาณปี  2540 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ ต.พุขาม อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์  ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังพัฒนาหมู่บ้านครับ  จึงได้มีการเรื้อหลังคาตลาดสด(เป็นตลาดสดเก่าครับ) ความสูงประมาณ 8 เมตร ชาวบ้านในหมู่บ้านได้ช่วยกันเรื้อ  เริ่มจากเอาสังกะสีที่เป็นหลังคาออกก่อน จึงเหลือแต่โครงไม้ที่เป็นหลังคา  ขณะนั้นได้มีชาวบ้านคนหนึ่งชื่อว่า  นายโก  นั่งถือชะแลงอยู่บนหลังคาซึ่งเหลือแต่โครงไม้  และได้มีชาวบ้านอีกคนหนึ่งถอนตะปูที่ยึดกับโครงหลังคาที่นายโกนั่งอยู่  เมื่อถอนตะปูออกสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น  คือโครงไม้ดังกล่าวมีความเก่ามาก  โครงไม้จึงได้หลุดออกจากกัน  ทำให้นายโก ตกลงมากระแทกกับพื้นอย่างแรงจนสลบไป แล้วชะแลงที่นายโกถืออยู่ก็ตกลงตามมาด้วย ทำให้ชาวบ้านที่เป็นผู้หญิงพากันปิดตาด้วยความหวาดเสียว  แต่ชะแลงที่ตกลงมาในแนวดิ่ง ได้ตกลงมาปักกับพื้นดินเฉียดหูของนายโก พอดิบพอดี  ชาวบ้านจึงช่วยกันนำตัวของนายโกมาปฐมพยาบาล แล้วได้เตรียมรถที่จะไปส่งโรงพยาบาล  แต่นายโกสลบอยู่เพียงครู่เดียวก็ฟื้น  จึงไม่ได้ไปโรงพยาบาล  ตอนนั้นในตัวนายโก ได้คล้องรูปหล่อรมดำของหลวงพ่อสุธี รุ่น สร้างอุโบสถ ปี ๒๕๑๘ เพียงองค์เดียวเท่านั้น

อานุภาพเหรียญหลังพระประธาน   
เมื่อประมาณ ๒๐ ปีที่แล้ว เหรียญรุ่นนี้เคยสร้างปาฏิหาริย์คือ มี ตชด.(ตำรวจตะเวณชายแดน)ได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ กิ่ง อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ (สมัยก่อนเป็นกิ่งอำเภอ เดียวนี้เป็น อ.เข้าค้อแล้ว) เพื่อป้องกันอธิปไตยของประเทศ จากพวก ผกค.(ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิส) กับเพื่อน ตชด.อีก ๑๙ คน รวมเป็น ๒๐ คน เหตุเกิดในเวลาประมาณ ๒ทุ่มเศษ ตชด.หมู่นี้ ได้ปะทะกับกลุ่ม ผกค. ซึ่งมีจำนวนคนมากกว่า ปะทะกันอยู่ประมาณ เกือบ ๒ ชั่วโมง กลุ่ม ตชด.หมู่นี้ จึงถูกพวก ผกค.ล้อมยิง เพราะตชด.มีกำลังน้อยกว่า จึงถูกยิงตายทั้งหมู่ เหลืออยู่เพียงคนเดียว ตชด.ท่านนั้น ได้คล้องเหรียญรุ่นนี้ อยู่เพียงเหรียญเดียว ตชด.ท่านนี้ หลังจากรอดชีวิตมาได้เล่าว่า "ถูกพวก ผกค. ระดมยิง ลูกปืนเป็นห่าฝน แต่ยิงอย่างไรก็ไม่ถูกตนเอง เป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อสุธี ที่ช่วยให้ตนเองรอดชีวิต จึงทำให้ ปัจจุบัน เหรียญรุ่นนี้ จึงเป็นเหรียญหายาก  เหรียญรุ่นนี้สร้างในงานหล่อพระประธาน หายากสุดๆ ครับ หลวงพ่อปลุกเสกเดี่ยว ตั้งแต่ปี ๑๗ถึง ๑๙ เป็นเวลา ๒ ปีกว่า ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าท่านปลุกเสกเหรียญรุ่นนี้จนแดงเหมือนเหล็กเผาไฟเลย  หลังจากนั้นท่านจึงได้นำเหรียญรุ่นนี้เข้าพิธีพุทธาภิเศกใหญ่ งานฝังลูกนิมิต (หลวงพ่อทบร่วมปลุกเสก) อีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงนำมาแจกให้เฉพาะกรรมการวัดและลูกศิษย์ใกล้ชิดเท่านั้น จำนวนการสร้าง น้อยมาก ๕๐๐ เหรียญเท่านั้น ปัจจุบัน คนในพื้นที่ เขาหวงแหนเหรียญรุ่นนี้มาก

ลุยไฟ  !  บูชาครูบาอาจารย์
   ทุกวันเพ็ญเดือน  ๑๒  หรือวันลอยกระทงเพื่อขอขมาพระแม่คงคา  แต่วันนี้เป็นวันที่หลวงพ่อสุธี  ท่านต้องทำพิธีบูชาครูบาอาจารย์  การทำพิธีบูชาครูของท่านนั้นเริ่มจากการ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย  แล้วก็ระลึกครูบาอาจารย์ของท่านที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาอาคมให้  จากนั้นท่านก็จะให้ลูกศิษย์นำถ่านที่ติดไฟจนลูกโชนเป็นสีแดงๆ  มาเท ลงบนพื้นดินยาวประมาณ  ๑๐  เมตร  แล้วท่านก็จะเดินลุยไฟด้วยเท้าเปล่าๆ  เมื่อท่านเดินลงไปอยู่ที่กลางกองไฟ  ท่านจะกวักมือเรียกลูกศิษย์  ให้เดินตามท่านไป   ท่านจะพูดว่า   “ตามมา  ตามมา  ใครตามข้ามาจะดีมากๆ”  มีลูกศิษย์ท่านคนหนึ่ง  ชื่อว่า  คุณมานิตย์  หอมสุวรรณ์  ปัจจุบัน  อายุใกล้ ๖๐ แล้ว ทุกวันนี้เป็นช่างตัดผมอยู่ใกล้ๆ  กับวัดศรีธงชัย   เล่าให้ฟังว่า  ตอนนั้นยังเป็นหนุ่ม  ด้วยความอยากรู้  อยากลอง  ได้เอาลงไปแตะดูที่ไฟ  ความจริงไม่ได้คิดว่าจะลุยไฟตามหลวงพ่อ   แต่ถูกเพื่อนซึ่งยืนอยู่ข้างหลังผลัก  จึงเดินตามหลวงพ่อไป  คนเฒ่าคนแก่ที่ดูอยู่พากันปรบมือชอบใจกันใหญ่    เสร็จพิธีก็มีเพื่อนๆของคุณมานิตย์เข้าไปถามว่า  “ร้อนมั้ย”  คุณมานิตย์ตอบว่า  “อุ่นๆว่ะ”
   พิธีนี้   หลวงพ่อปลัดราย  ฐานุตะโร (ลูกศิษย์คนเดียวของหลวงพ่อสุธี และก็ได้เป็นเจ้าอาวาสต่อจากหลวงพ่อสุธี ปัจจุบันมรณภาพแล้วเช่นกัน)  บอกว่าขณะที่หลวงพ่อสุธีท่านเดินผ่านกองไฟนั้น  ท่านจะใช้วิชาดับพิษไฟ
ทำให้ไฟไม่ร้อน  แต่ถ้าท่านยังไม่บอกให้ใครตามท่านไป  ห้ามเดินตามไปเด็ดขาด   เท้าพองแน่ๆ



ยิงควายเปลี่ยว
   หลวงพ่อสุธี  ท่านมีลูกศิษย์ใกล้ชิดอยู่คนหนึ่ง  แกชื่อ  ลุงเหนียม มีอาชีพทำนา  สมัยนั้นยังใช้ควายไถนาอยู่ไม่ได้ใช้ควายเหล็กเหมือนปัจจุบันนี้  และลุงเหนียมคนนี้แหละที่ได้ตะกรุดโทนของหลวงพ่อไป  ตะกรุดโทนของหลวงพ่อสุธีนั้นน้อยคนนักที่จะได้เป็นเจ้าของ  ต้องเป็นศิษย์ใกล้ชิดกับท่านจริงๆท่านถึงจะทำให้  วันหนึ่งลุงเหนียมแกมาปรับทุกข์กับหลวงพ่อว่า  ควายแถวๆระแวกบ้านของแกเป็นห่าตายหลายตัว  เกรงว่าวันหนึ่งโรคห่าจะลามมาถึงควายของแก  หลวงพ่อบอกว่า  “ก็ตะกรุดที่ข้าทำให้ไปนะ  เองจงเอาไปคล้องคอควาย  ห่าจะไม่กินควายของเอง”  ลุงเหนียมแก่จึงทำตามที่หลวงพ่อบอก  และควายของลุงเหนียมก็ไม่เป็นห่าทั้งๆที่  ข้างบ้านก็เป็นกันหมด   แต่ควายของลุงเหนียมตัวนี้เป็นควายเปลี่ยว  มีนิสัยดุ เคยไล่ขวิดคนที่เดินผ่านไปมาอยู่บ่อยๆ   และวันหนึ่งควายตังนี้ก็ได้ไปขวิดคนเข้าจริงๆ  ทำให้ลุงเหนียม  เสียเงินไปจำนวนมากโขทีเทียว  ทำให้แกโมโหมาก  คิดในใจว่า  ไอ้ควายตัวนี้สงสัยจะเอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว  แกจึงใช้ปืนลูกซองยาวยิงไปที่ควายตัวดังกล่าว ๑ นัด เสียงดังสนั่น  ทำให้ควายตัวนั้นล้มลงทันที
ลุงเหนียมเห็นดังนั้น  จึงตะโกนบอกเพื่อนบ้านที่ปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆ  กันว่า  “เฮ้ย...พวกมึงช่วยกันเอามีดพร้ามาช่วยกันทำควาย  จะได้แบ่งเนื้อไปกินกัน”   เพื่อนบ้านได้ยินเพียงไม่กี่อึดใจก็รีบมาทันที  แล้วถามว่า  “ไหนล่ะลุงควายที่ว่า” พอลุงเหนียมแกหันไปแล้วชี้ไปที่ควายตัวนั้น  แก่ถึงกับสะดุ้ง  เพราะควายตัวนั้นลุกขึ้นกินหญ้าเฉยเลย  ลุงเหนียมกับพวกจึงเดินไปดูที่ควายตัวนั้น  แล้วก็เห็นว่าที่คอของมันมีตะกรุดโทนของหลวงพ่อสุธีอยู่ดอกหนึ่ง  แกจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะฆ่าควายตัวนั้น  แล้วนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง   หลวงพ่อท่านได้ยินท่านก็เฉยแล้วพูดว่า 
“ไอ้เหนียมเอ้ย...ควายของมึงมันเป็นสัตย์เดรัจฉาน  มันไม่รู้จักผิด  จักถูก ควายมึงมันดุ  ทำไมมึงไม่พามันไปผูกไว้ไกลๆคน  มึงเองเป็นเจ้าของ  เรื่องแค่นี้มึงถึงกับจะเอาชีวิตมันเชียวหรือ  มันช่วยมึงทำนามาก็หลายปี  ทำรายได้ให้มึงก็หลายบาท  มึงเป็นคนอย่าทำตัวต่ำกว่าควายรู้มั้ย”  ลุงเหนียมโดนหลวงพ่อเทศน์เสียชุดใหญ่  ก็ได้แต่ก้มหน้าตอบว่า  ครับๆ  ไม่กล้าเถียงแม้แต่คำเดียว

   เรื่องราวอันอัศจรรย์พันลึกเหนือธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากการบำเพ็ญเพียรและปฏิบัติตนให้อยู่ในศีลในธรรมอย่างเคร่งครัด  ดังคำที่กล่าวไว้ว่า  “ เมืองไทย ไม่เคยขาดพระอรหันต์”   พระเกจิอาจารย์ท่านนี้ท่านจะสำเร็จถึงขั้นไหนนั้นเราท่านคงไม่อาจทราบได้  ประวัติของท่านไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนเพราะท่านไม่ต้องการชื่อเสียง  รู้เพียงแต่ว่าท่านไม่ธรรมดาแน่ๆ  สุดท้ายนี้  ขออัญเชิญ  บารมีของ  หลวงพ่อสุธี  ยะสะธะโร  จงดลบันดาลให้ท่านผู้อ่าน  เจริญด้วยอายุ  วรรณะ  ปฏิภาณ  ธนสารสมบัติ  คิดสิ่งขอให้สมความมุ่งมาดปรารถนา  ทุกท่าน  ทุกคน  เทอญ   สาธุ...

ชีวประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อสุธี วัดศรีธงชัย
ชีวประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อสุธี วัดศรีธงชัย
ชีวประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อสุธี วัดศรีธงชัย
ชีวประวัติและปฏิปทา หลวงพ่อสุธี วัดศรีธงชัย
โดย  ไก่ เพชรบูรณ์ วันที่ 2015-09-05 19:41:23 
 

Total 0 Record : 1 Page : 1