ดอลลาร์อ่อน ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น … ฤา นี่จะเป็นสุดยอดกลยุทธ์การคืนหนี้ของอเมริกา?แล้วมันเกี่ยวกับประเทศไทยอย่างไร?
สัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาได้ขยายเพดานการก่อหนี้เพิ่มอีก 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่ก่อหนี้จนชนเพดานที่ระดับ 14.3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งปริ่มระดับของผลิตภัณฑ์มวลรวมของสหรัฐแล้ว และมีแผนการในการทยอยตัดการขาดดุลงบประมาณลงในเวลา 10 ปี
คนทั้งโลกตอนนี้ต่างก็จับตาดูว่านี่จะเป็น “การซื้อเวลา” เพื่อไม่ให้อเมริกา “ชักดาบ” เพราะไม่สามารถชำระหนี้ตามกำหนดเอาไว้ได้ การเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ตามมาด้วยการลดอันดับความน่าเชื่อถือต่อตราสารหนี้ของอเมริกา
… นั่นหมายถึง เงินดอลลาร์สหรัฐจะต้อง “อ่อนค่า” ลงไปมากกว่านี้อีก !!
เมื่อคนทั้งโลกเห็นว่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาจะอ่อนค่าลงไปอีก ทำให้ประเทศที่มีเงินดอลลาร์ทั่วโลกในทุนสำรองต่างก็พร้อมใจกันหาทางพยายามเปลี่ยนสินทรัพย์ที่เป็นเงินดอลลาร์ให้กลายเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นที่ไม่ใช่ในสกุลเงินดอลลาร์ เพื่อไม่ให้ทรัพย์สินของตนด้อยค่าลงไปทุกวัน
ก่อนหน้านี้สหรัฐอเมริกาพยายามแก้ไขปัญหาการว่างงานในประเทศที่มีสูงถึง 10% ด้วยการใช้มาตรการทางการเงิน โดยธนาคารกลางของสหรัฐได้ออกมาตรการ QE (Quantitative Easing) มาตั้งแต่ปี 2551 หรือ QE1 ด้วยการพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมารับซื้อตราสารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมียอดเงินรวมกันสูงถึง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ ควบคู่ไปกับการลดอัตราดอกเบี้ยธนาคารกลางให้เข้าใกล้ 0%
ต่อมามีการใช้ QE2 ในปี 2553 ในวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์เพื่อทยอยเข้าซื้อแทรกแซงตลาดตลาดพันธบัตรสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ตลาดพันธบัตรมีผลตอบแทนน้อยลง … ทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างกลไกส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกาหันมาปล่อยสินเชื่อให้แก่ภาคธุรกิจมากขึ้น โดยหวังว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้คนว่างงานน้อยลง
แต่เอาเข้าจริงมาตรการ QE ของสหรัฐกลับไม่ได้ผล เพราะเงินในธนาคารพาณิชย์ที่มีสภาพคล่องสูงขึ้นนั้นกลับไหลออกไปนอกประเทศ ทั้งการปล่อยสินเชื่อผ่านกองทุนต่างๆ และการลงทุนในพันธบัตรต่างประเทศ หุ้นในต่างประเทศ ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย เพราะนอกจะได้รับผลตอบแทนในการลงทุนแล้ว ยังได้กำไรจากค่าเงินในภูมิภาคเอเชียที่กำลังแข็งตัวขึ้นด้วย
ปัญหาเงินดอลลาร์ที่ไหลออกเพื่อเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ในสกุลเงินอื่น ทำให้การใช้มาตรการ QE ของสหรัฐไม่ได้ผลมากนักในการกระตุ้นเศรษฐกิจในอเมริกา สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐอเมริกาพบว่า ดัชนีคำสั่งซื้อเพื่อการผลิตในเดือนมิถุนายนที่อยู่ที่ระดับ 55.3 จุด เหลือเพียง 50.9 ในขณะที่คำสั่งซื้อใหม่ก็ลดลงเหลือเพียง49.2 จุด แสดงให้เห็นสภาพการหดตัวของการผลิตอย่างชัดเจน
ขณะเดียวกันอัตราการว่างงานในสหรัฐก็ลดลงได้ไม่มากนัก โดยเดือนมิถุนายน อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูงที่ 9.2%
เศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐอเมริกาไม่เป็นผลดีต่อภาคการผลิตของโลก เพราะหากกำลังซื้อในสหรัฐอเมริกาอ่อนแอลง ผู้ส่งออกทั่วโลกย่อมได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศที่มีการบริโภคและนำเข้ามากกว่าส่งออก อันเป็นผลทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงที่สุดในโลก โดยในปี 2553 มีการขาดดุลถึง 561,000 ล้านดอลลาร์ โดยมาจากการเสียดุลการค้าให้แก่ประเทศจีนมากที่สุดถึงปีละ 100,000 ล้านดอลลาร์
จีนทำการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นลูกค้าที่สำคัญ โดยจีนได้ใช้นโยบายค่าเงินอ่อนกว่าความเป็นจริง ทำให้สามารถส่งออกไปแย่งตลาดทั่วโลก ในปีที่ผ่านมาจีนได้เกินดุลบัญชีเดินสะพัดถึง272,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเทศจีนส่งสินค้าออกไปทั่วโลกประมาณ 1.57 ล้านล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้เป็นการส่งออกไปยังสหรัฐมากที่สุดถึง 385,300 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ24.5 ของตลาดส่งออกของจีน
การค้าขายของโลกใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก ประกอบกับสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกของทุกประเทศในโลกรวมกันปีละประมาณ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้ประเทศต่างๆได้ทรัพย์สินมาในรูปของเงินดอลลาร์เป็นส่วนใหญ่
ในปัจจุบันนี้การถือครองเงินสกุลต่างประเทศทั่วโลกนั้นมีอยู่ประมาณ 9.6 ล้านล้านดอลลาร์ และประเทศต่างๆมีความพยายามที่จะเก็บเงินดอลลาร์ในสัดส่วนที่น้อยลงอย่างต่อเนื่อง และประเทศที่มีเงินสำรองมากที่สุดในโลกก็คือประเทศจีน ที่มีสูงถึง 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ รองลงมาคือประเทศญี่ปุ่นที่มีสูงถึง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ …สำหรับประเทศไทยอยู่ที่อันดับที่ 12 ของโลก มีสูงถึง 185,471 ล้านดอลลาร์ ซึ่งยังสูงกว่าสหรัฐอเมริกาเองที่อยู่ในลำดับที่ 16 คือมีที่ 142,931 ล้านดอลลาร์
ประเทศจีนจึงเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาโดยถือพันธบัตรของสหรัฐอเมริกาสูงมากมายที่1.16 ล้านล้านดอลลาร์ รองลงมาคือประเทศญี่ปุ่นที่ถือพันธบัตรสหรัฐอเมริกาสูงถึง 882,300 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากค่าของเงินดอลลาร์ลดลง ย่อมทำให้มูลค่าหนี้พันธบัตรของสหรัฐอเมริกาลดลงตามไปด้วย เมื่อเทียบกับเงินในสกุลของตนเองในเวลาที่ซื้อพันธบัตร … ทั่วโลกจึงพยายามปรับลดสัดส่วนการถือครองดอลลาร์สหรัฐในเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของตัวเอง
หากกลับไปดูตัวเลข จะพบว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทั่วโลกมีการเก็บเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาเป็นทุนสำรอง70.7% เป็นเงินสกุลยูโร 19.8% และเมื่อ 10 ปีผ่านไป ทั่วโลกมีการปรับสัดส่วนเก็บเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐลดลงเหลือเพียง 60.7% และเป็นเงินสกุลยูโรเพิ่มขึ้นเป็น 26.6% … แต่ถึงจะพยายามแค่ไหน ดอลลาร์สหรัฐก็ยังคงเป็นเงินสกุลหลักของโลกอยู่ดี และยิ่งเมื่อความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐลดน้อยลง ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไปอีก
ในตอนนี้ประเทศต่างๆในโลกก็กำลังกลุ้มใจอยู่ไม่น้อย เพราะการอ่อนค่าของดอลลาร์ได้ทำให้มูลค่าทรัพย์สินในเงินสำรองระหว่างประเทศของทุกประเทศทั่วโลกที่เป็นเงินดอลลาร์นั้นด้อยค่าลงไปด้วย แม้แต่เงินสกุลยูโรที่ว่ากันว่าเป็นเงินสกุลหลักรองจากดอลลาร์สหรัฐก็พลอยอ่อนค่าลงไปด้วย
นี่ก็กลายเป็นสาเหตุที่ประเทศที่ถือเงินสกุลดอลลาร์และยูโร ต่างก็พยายามที่จะเข้ามาลงทุนเปลี่ยนเป็นเงินสกุลอื่นในเอเชีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีแนวโน้มที่ค่าเงินจะแข็งต่อไป และมีอัตราผลตอบทุนในการลงทุนที่ดี ทั้งในตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และกองทุนทองคำในแต่ละประเทศ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนทั้ง “ค่าเงิน” และ “ผลตอบแทนจากการลงทุน” … การที่กองทุนต่างชาติไม่อยากให้ทรัพย์สินของตนเองด้อยค่าไปกับการถือครองเงินสกุลดอลลาร์และยูโร ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้เงินดอลลาร์สหรัฐและยูโรอ่อนตัวลงไปอีก
เราลองมาคิดตามดูว่า … หากวันหนึ่งเงินดอลลาร์ถูกพิมพ์ออกมาท่วมโลก เงินดอลลาร์ย่อมด้อยค่าลงและเข้าใกล้การเป็นเศษกระดาษ หนี้ของสหรัฐอเมริกาก็จะเข้าใกล้มูลค่าเศษกระดาษตามไปด้วย ถึงเวลานั้นเราจะพบว่ากองทุนต่างๆของสหรัฐอเมริกาได้เปลี่ยนมาถือครองทรัพย์สินในสกุลเงินอื่นๆกันหมดแล้ว และเมื่อถึงเวลานั้นผู้ที่จะเป็นมหาเศรษฐีของโลกก็คือสหรัฐอเมริกานั่นเอง เพราะอะไร???
ในปัจจุบันสหรัฐอเมริกามีทองคำอยู่ในทุนสำรองสูงที่สุดในโลกถึง 8,133 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 73 ของทุนสำรองของสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ประเทศจีนที่มีทุนสำรองมากที่สุดในโลกกลับมีทองคำอยู่ราว 1,054 ตัน คิดเป็น 1.7% ในทุนสำรองทั้งหมดของจีน
แนวคิดการพิมพ์เงินดอลลาร์อย่างไม่หยุดยั้งนั้น เป็นความคิดจากนาย พอล คร๊กแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เขาได้ให้ความเห็นเมื่อเดือนตุลาคม 2553 ว่า หากจะกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาให้ตื่นอย่างได้ผล อาจต้องใช้มาตรการ QE หรือการพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาซื้อทรัพย์สินในตลาดพันธบัตรและหนี้เสียในสหรัฐอเมริกา อีกประมาณ 8-10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะเป็นการพิมพ์ธนบัตรออกมาจากธนาคารกลางมากกว่าทุนสำรองทั่วโลกรวมกันเสียอีก
ดูไปแล้ว การพิมพ์ธนบัตรของสหรัฐอเมริกาอาจจะไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่อาจจะเป็นยุทธศาสตร์ในการใช้ “กระดาษที่กำลังด้อยค่า” เพื่อเข้าซื้อและครอบครองทรัพย์สินและทรัพยากรธรรมชาติในประเทศต่างๆ และทำให้มูลค่าหนี้ของตนลดลง โดยใช้ทองคำในทุนสำรองที่ราคาได้ทะยานขึ้นนั้นขายออกเสียจำนวนหนึ่งในภายหลัง ก็จะสามารถชำระหนี้เงินดอลลาร์สหรัฐในต่างประเทศได้สบายๆ
แต่ละประเทศกว่าจะรู้ตัวอีกครั้ง ก็ต้องขายทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพย์สินของชาติแลกกับกระดาษด้อยค่าไปหมดแล้ว !!
ลองมาคิดในแง่นี้ดู … หากดอลลาร์อ่อนลงมากๆจนแทบจะไร้ค่า ในขณะที่สหรัฐอเมริกาตุนทองคำ และน้ำมันดิบในประเทศของตัวเองเอาไว้มากมายไม่ยอมเอาออกมาใช้นั้น ก็น่าจะเห็นทิศทางได้ว่าสหรัฐอเมริกากำลังทำให้ทรัพยากรทั้งโลกอยู่ในมือของตัวเอง และกำลังจะกำหนดชะตากรรมของโลก โดยใช้กระดาษที่กำลังด้อยค่ายึดครองทรัพยากรและสินทรัพย์ของชาติอื่น ส่วนอีกด้านหนึ่งก็สั่งสมทรัพย์สินและพลังงานของตนเองเอาไว้
ประเทศไทยนั้นมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงเป็นอันดับที่ 12 ของโลก คืออยู่ที่ 185,471 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามจะเปลี่ยนทรัพย์สินมาถือเป็นทองคำมากขึ้น จากเมื่อ 8 ปีที่แล้วมีทองคำอยู่ที่ประมาณ 77.9 ตัน ให้มาอยู่ที่ระดับ 108.9 ตัน ซึ่งอยู่ที่อันดับ 36 ของโลก แต่เมื่อเทียบแล้วก็ยังมีปริมาณสัดส่วนทองคำอยู่เพียง 2.5% ของทุนสำรองทางการของไทย ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกำลังด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ ตามการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้นการที่คุณยิ่งลักษณ์ ได้ประกาศล่วงหน้าว่าจะใช้นโยบาย “ค่าเงินบาทแข็ง” เมื่อรวมกับนโยบายประชานิยม จึงน่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเช่นกัน … สิ่งนี้จะเป็นแรงจูงใจให้กองทุนต่างชาติระบายเงินดอลลาร์สหรัฐมาลงทุนและเปลี่ยนเป็นเงินบาทในประเทศไทยอย่างมโหฬาร ทั้งในตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร ตลาดตราสารหนี้ เพื่อรอวันเวลาในการทำกำไรครั้งใหญ่ในวันข้างหน้า ทั้งการเก็งกำไรค่าเงินบาทและผลตอบแทนมากมายมหาศาล
ขอขอบคุณ Source : ผู้จัดการรายสัปดาห์ : ภาพประกอบจาก Internet
|